หากนึกถึงอาหารญี่ปุ่น นอกจากเมนูปลาดิบ ราเมง โซบะ หรือซูชิ อีกเมนูยอดนิยมที่เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนถึงดินแดนอาทิตย์อุทัยแล้วจะพลาดไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ “เนื้อโอมิ” หนึ่งในเนื้อที่ดีที่สุดในบรรดาเนื้อวัวญี่ปุ่นทั้งหมด ด้วยรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รสสัมผัสนุ่มละมุนลิ้นจนถึงขั้นละลายในปาก ใครได้ลิ้มลองเป็นอันต้องติดใจ ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมการทานเนื้อของชาวญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
ตามเราไปทำความรู้จักกับเนื้อวัวจากวัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนดำที่ว่ากันว่าผ่านการเลี้ยงดูอย่างดีที่สุด ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำและสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยธรรมชาติพร้อมกัน แล้วหลายคนจะเลิกตั้งคำถามถึงที่มาของรสชาติดั้งเดิมของเนื้อแสนอร่อยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
เปิดประวัติความเป็นมาของเนื้อโอมิ 1 ใน 3 สุดยอดเนื้อวัวชั้นเลิศแห่งญี่ปุ่น เอกลักษณ์รสชาติเฉพาะตัว
เนื้อโอมิ จัดเป็น 1 ใน 3 เนื้อวัวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นซึ่งผ่านการเลี้ยงดูในบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติ แหล่งอาหารและน้ำที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อวัวบวกกับหลักการที่สืบทอดกันมายาวนาน และคัดสรรเนื้อด้วยมาตรฐานที่มีความเข้มงวด เพื่อให้มาซึ่ง Ohmi Wagyu รสชาติดี ลายหินอ่อนสวยโดดเด่นจากไขมันที่กระจายตัวอย่างดี เนื้อนุ่มละลายในปาก และกลิ่นหอมชวนรับประทาน จนหลายคนตั้งคำถามสงสัยว่าวัตถุดิบชั้นยอดนี้ มีจุดเริ่มต้นอย่างไร
ต้องบอกก่อนเลยว่า แม้จะไม่ได้โด่งดังเท่าเนื้อโกเบ แต่ก็ถือเป็นแบรนด์เนื้อวัวที่ได้รับความนิยมไม่น้อย ทั้งยังมีประวัติความเป็นยาวนานกว่า 400 ปีมาแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นวากิวที่มีความพิเศษเฉพาะตัว มีเอกลักษณ์โดดเด่น และมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในประเทศญี่ปุ่น จุดที่น่าสนใจคือเคล็ดลับในการเลี้ยงวัวญี่ปุ่นสายพันธุ์ขนดำดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต และยังนำมาปรับใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยผู้เลี้ยงต้องดำเนินการตามตำราที่มีชื่อว่า “คู่มือการเลี้ยงและดูแลวัวโอมิ” เนื้อวัวที่จะถูกคัดสรรมาเสิร์ฟเป็นจานพิเศษนั้น ต้องเป็นเนื้อวัวโอมิที่ได้จากวัวซึ่งผ่านช่วงการเลี้ยงยาวนานที่สุดในจังหวัดชิงะ และแน่นอนว่าต้องสิ้นสุดในจังหวัดชิงะด้วยเช่นกัน
ผลผลิตที่ได้การันตีถึงความตั้งใจของผู้เลี้ยง ทั้งการเลี้ยงตามธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ในจังหวัดชิงะ และให้วัวดื่มน้ำในทะเลสาบบิวะ ยิ่งรวมกับคติที่ยึดถือกันมาตั้งแต่โบราณกาลว่า “ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ทั้ง 3 ฝ่าย” ซึ่งได้แก่ คนขาย คนซื้อ และสังคม แม้เนื้อวัวโอมิได้รับการยกระดับจนกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว ก็ยังสามารถรักษาคุณภาพเนื้อระดับพรีเมียมให้คงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
การผลิตเนื้อโอมิที่แสนพิเศษ ใส่ใจในทุกขั้นตอนการเลี้ยงวัว ทะนุถนอม อ่อนโยน และทุ่มเท
อย่างที่เราทราบกันดีว่ารูปแบบการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างจะมีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นเป็นคำกล่าวที่ว่า “TEMA-HIMA” ซึ่งพูดถึง “การทำงานอย่างรอบคอบ และการทำงานอย่างทุ่มเท” ดังที่เราเห็นไปจากผลลัพธ์สะท้อนผ่านไลฟ์สไตล์ของผู้คนและการบริหารบ้านเมืองที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่นเดียวกับการเลี้ยงวัวเพื่อให้ได้เนื้อโอมิที่มีคุณภาพ เนื้อวัวที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน จะต้องใช้เวลา ความทุ่มเท ความพยายาม และความพิถีพิถันในการผลิตไม่น้อย
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนยังไม่เคยได้ลิ้มลองเนื้อวากิวอย่างโอมิ เพราะเนื้อวัวโอมิที่ผ่านการรับรองมาตรฐานนั้นค่อนข้างที่จะหายาก เนื่องจากเนื้อที่ดีมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานจะถูกส่งออกขายเพียงปีละ 6,000 ตัวเท่านั้น ทำให้ในปัจจุบันยังมีการกระจายสินค้าอยู่ในวงแคบ ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้ผลิตยังติดอยู่กับขั้นตอนและกระบวนการเลี้ยงที่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเทใส่ใจเป็นอย่างมาก เพื่อรักษาคุณภาพของเนื้อ Wakyu โอมิที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอยู่ในระดับสูง จึงทำให้หารับประทานได้เพียงบางพื้นที่เท่านั้น แต่หากมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นก็ไม่ควรพลาดที่จะลิ้มลองสักครั้ง
บทสรุป เคล็ดลับความอร่อยของเนื้อโอมิ วัตถุดิบชั้นยอด นำไปทำเมนูไหนก็อร่อยจนต้องร้องว้าว
ด้วยความพิถีพิถันของการเลี้ยงวัว Omi ดังที่เราได้กล่าวมาทั้งหมด ทำให้โอมิวากิวมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ความอ่อนนุ่มละเอียดของเนื้อ ไขมันหวาน และกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนกับเนื้อวัวทั่วไป ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยกรดไขมันโอเลอิก ไขมันชนิดที่มีอุณหภูมิหลอมเหลวไขมันต่ำ เพียงผ่านความร้อนเล็กน้อยก็พร้อมส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนให้อยากลิ้มลอง เข้ากันได้ดีกับอาหารญี่ปุ่นเอง รวมถึงอาหารตะวันตกหลากหลายสไตล์ด้วย ส่วนใหญ่จะนิยมนำเนื้อโอมิมาเป็นวัตถุดิบในเมนู Shabu Shabu, Sukiyaki, Steak, Grill, Oil Grill หรือจะเป็นเนื้อวัวลนไฟอย่างอาบุริ และเนื้อวัวโอมิตุ๋นก็อร่อยไม่แพ้กัน รับประกันความประทับใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครอยู่ในช่วงวัยไหนหรือเพศใด หากได้ลิ้มลองต่างก็ต้องชื่นชอบในรสชาติและกลิ่นหอมแสนโดดเด่นนี้อย่างแน่นอน
ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารเพิ่มเติมได้ที่ Foodspace