หากพูดถึง วิตามินซี เชื่อว่าทุกคนย่อมต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงที่ COVID19 ระบาด ก็กลายมาเป็นไอเทมเด็ดประจำตัวที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติหลากหลายที่ดีต่อสุขภาพและผิวพรรณอีกด้วย ก่อนอื่นเราค่อย ๆ มาทำความรู้จักกับวิตามินชนิดนี้ไปพร้อมกันดีกว่า Vitamin C เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ ซึ่งร่างกายของเรานั้นไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารจากธรรมชาติอย่างผักผลไม้ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่น ๆ
พาส่องความแตกต่างระหว่างวิตามินซีในธรรมชาติ กับรูปแบบสังเคราะห์ ด้วยคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว
Vitamin C จากธรรมชาติได้มาจากผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆ ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีปริมาณวิตามินที่แตกต่างกันออกไป ส่วนวิตามินในรูปแบบที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมานั้น เกิดจากการพัฒนากระบวนการผลิตทางเคมี ซึ่งวิตามินจากทั้งสองแหล่งมีโครงสร้างที่เหมือนกัน ทั้งยังมีประสิทธิภาพที่ไม่ได้แตกต่างกันด้วย ไม่ว่าจะเลือกทานวิตามินรูปแบบไหน ร่างกายก็จะสามารถดูดซับไปใช้ประโยชน์ได้เช่นเดียวกัน หากจะเลือกทานแบบสังเคราะห์ ก็จะได้ปริมาณวิตามินที่พอเหมาะพอดี แถมสะดวกต่อการทาน แต่ในทางกลับกัน ถ้าเลือกทานวิตามินจากธรรมชาติ ก็จะได้รับประโยชน์ในแง่อื่น ๆ ตามมาด้วย
แต่บางครั้งการรับประทาน Vitamin C จากผักและผลไม้เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากเมื่อได้สัมผัสกับอากาศ โดนความร้อนหรือความชื้น วิตามินชนิดนี้จะเสื่อมสลายได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกซื้อผักและผลไม้สดที่เพิ่งเก็บจากต้นจึงจะดีที่สุด
แนะนำอาหาร 20 ชนิดที่มีวิตามินซีมากที่สุด มัดรวมมาให้ทั้งผักและผลไม้ หาทานง่ายตามท้องตลาด
- มะขามป้อม มี 276 มิลลิกรัม
- ฝรั่ง มี 228 มิลลิกรัม
- พริกหวานสีเหลือง มี 184 มิลลิกรัม
- แบล็กเคอร์แรนต์ มี 181 มิลลิกรัม
- ผักคะน้า มี 147 มิลลิกรัม
- พาร์สลีย์ มี 133 มิลลิกรัม
- ผักปวยเล้ง มี 120 มิลลิกรัม
- เงาะโรงเรียน มี 97 มิลลิกรัม
- ผักเคล มี 93.4 มิลลิกรัม
- พริกหวานสีเขียว มี 80.4 มิลลิกรัม
- กีวี่ มี 74.7 มิลลิกรัม
- ลิ้นจี่ มี 71.5 มิลลิกรัม
- ลูกพลับ มี 66 มิลลิกรัม
- บรอกโคลี มี 64.9 มิลลิกรัม
- กะหล่ำดาว มี 62 มิลลิกรัม
- มะละกอ มี 60.9 มิลลิกรัม
- ส้ม มี 59.1 มิลลิกรัม
- สตรอว์เบอร์รี มี 58.8 มิลลิกรัม
- มะนาว มี 53 มิลลิกรัม
- ถั่วลันเตา มี 40 มิลลิกรัม
*รวมผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีในปริมาณมากต่อ 100 กรัม
แยกประเภทผลิตภัณฑ์ Vitamin C เลือกทานได้ตามความสะดวก สไตล์ที่ใช้ รูปแบบที่ชื่นชอบ
- แบบอัดเม็ด : ส่วนใหญ่จะมีขนาดตั้งแต่ 25 – 1,000 มิลลิกรัม แต่ขนาดที่เป็นที่นิยมจะเป็น 500 และ 1,000 มิลลิกรัม ควรเลือกทานแบบ Sustained Release, Slow Release หรือ Buffered ซึ่งจะเป็นประเภทที่มีการปล่อยวิตามินออกมาให้ร่างกายได้ซึมซับช้า ๆ ออกฤทธิ์ได้นาน แถมยังลดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ด้วย
- แบบเม็ดอม : วิตามินซีรูปแบบนี้จะมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 25 – 500 มิลลิกรัม เหมาะกับคนที่ไม่ชอบการกลืนเม็ดลงคอ แต่ก็อาจมีผลเสียในระยะยาวเกี่ยวกับฤทธิ์ของกรดที่กัดกร่อนฟัน
- แบบกัมมี่ : มักมาในขนาด 30 มิลลิกรัม รูปแบบนี้จะเป็นแบบเคี้ยวที่เหมาะกับเด็ก รสหวานอมเปรี้ยวกำลังดี ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม เพราะอุดมไปด้วยน้ำตาล
- แบบเม็ดฟู่ : โดยปกติ Vitamin C รูปแบบนี้จะมีขนาด 500 และ 1,000 มิลลิกรัม ก่อนทานต้องนำไปละลายน้ำจนฟองหมด เนื่องจากฟองอาจเข้าไปเพิ่มแก๊สในกระเพาะ เหมาะกับผู้สูงอายุ
- แบบแคปซูล : มีให้เลือกทั้งแบบนิ่มและแข็ง ส่วนใหญ่จะมีขนาด 500 มิลลิกรัม กลืนง่าย ไม่ฝืดคอ
เปิดกรุความปังวิตามินซีมีประโยชน์หลากหลายมากกว่าที่คุณคิด เลือกทานในระดับที่ร่างกายต้องการ
Vitamin C ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดวิตามินเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง การทานวิตามินชนิดนี้เป็นประจำทุกวันจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ป้องกันโรคหวัด หรือหากเป็นหวัด ก็จะช่วยให้หายไวขึ้นนอกจากนี้ยังสามารถเสริมสร้างภูมิต้านทานต่อการเกิดโรคอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน เพราะมีคุณสมบัติทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง ทั้งยังช่วยดูแลผิวพรรณจากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้ผิวสวย ดูมีออร่า เหงือกและฟันแข็งแรง เป็นตัวช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการไหลเวียนโลหิต ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์ ให้ผิวนุ่ม แน่น และยืดหยุ่น อ่อนวัยกว่าที่ควร แถมยังมีส่วนช่วยให้ในการซ่อมแซมและรักษาตัวเองของร่างกาย เสริมสร้างผนังเซลล์ แผลหายไวขึ้น และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในร่างกายของคนที่ดูแลรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี
ทานวิตามินซีอย่างไรให้ได้คุณค่าสูงสุด สายสุขภาพห้ามพลาด!
แน่นอนว่าการทาน Vitamin C แบบธรรมดาทั่วไป ใคร ๆ ก็สามารถทานได้ แต่หากเรารู้จักทานตามวิธีที่ถูกต้องจะทำให้เราได้รับวิตามินในปริมาณที่เหมาะสมและได้รับประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเราแนะนำให้ทานในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา นั่นคือมื้อเช้าและมื้อเย็น จะได้ผลดีมากขึ้นหากทานร่วมกับแคลเซียม แมกนีเซียม และไบโอฟลาโวนอยด์ หากทานในปริมาณที่สูงเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่เป็นผลดีกับร่างกาย เช่น ท้องเสีย ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ และปริมาณที่เหมาะสมของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน ให้พิจารณาวิถีชีวิตและความแข็งแรงประกอบกันไปด้วย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ เกี่ยวกับอาหารได้ที่ Foodspace.life