พริกแห้ง หนึ่งในสมุนไพรที่มีรสชาติจัดจ้านเป็นเอกลักษณ์ โดยเครื่องเทศครัวไทยชนิดนี้ได้มาจากการแปรรูปพริกขี้หนูหรือพริกเม็ดใหญ่ที่ยังสดอยู่ นิยมนำมาประกอบอาหารเพื่อให้มีรสชาติที่เผ็ดร้อนมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนคิดว่า หากทานเข้าไปแล้วจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ในความจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในบทความนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักกับเครื่องเทศชนิดนี้ให้มากขึ้น
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักพริกแห้ง มีกี่ชนิด ต่างจากพริกสดอย่างไรและมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
พริกแห้ง ที่เราพบเห็นในปัจจุบันนั้น ได้มาจากพริกขี้หนูที่มีสีแดงส้ม เม็ดแห้งและสีไม่คล้ำ ส่วนอีกแบบจะได้มาจากพริกเม็ดใหญ่อีก 2 ชนิดนั่นคือ พริกชี้ฟ้าสุกที่นำไปตากแดดจนแห้งและพริกบางช้างที่มีเม็ดใหญ่กว่า ผ่านกระบวนการรวมควันให้แห้ง ซึ่งเป็นวิธีการถนอมอาหารรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นจึงแตกต่างจากการทานพริกสดอย่างชัดเจน
ส่วนประโยชน์ของพริกแห้งก็มีหลากหลายไม่แพ้สมุนไพรชนิดอื่น มีส่วนช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดี แก้อาการท้องอืด แน่นเฟ้อ รวมถึงอาหารไม่ย่อย ทั้งยังช่วยไล่แก๊สในกระเพาะอาหาร รักษาอาการไอ รักษาภูมิแพ้และโรคหอบหืด ช่วยลดน้ำหนัก และยังมีสารเอนโดรฟินหรือสารสร้างความสุขอีกด้วย
แชร์วิธีการทำพริกแห้ง พร้อมเทคนิคการเก็บให้ได้นานขึ้น
พริกแห้ง เป็นหนึ่งในเครื่องเทศที่สามารถทำเก็บไว้กินเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน โดยขั้นตอนและวิธีการทำพริกแห้งนั้นไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน เพียงเริ่มจากการนำพริกที่เก็บจากสวนหรือพริกที่ซื้อตามท้องตลาดทั่วไป มาเด็ดขั้วออกก่อนนำไปล้างน้ำให้สะอาด
จากนั้นนำไปใส่ในภาชนะที่มีขนาดใหญ่ พร้อมตั้งหม้อน้ำให้เดือด เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อน โดยให้นำพริกที่ล้างเตรียมไว้ลงไปลวกในน้ำเดือดเพียงหนึ่งครั้ง แล้วตักออก เพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปตากแดดได้แล้ว แนะนำให้ตากตรงบริเวณที่มีแดดจัดเป็นเวลาประมาณ 4-5 วัน หรืออาจมากกว่านั้นได้เพื่อให้แห้งดี
เมื่อได้พริกที่ผ่านการตากจนแห้งดีแล้ว สิ่งสำคัญคือการเก็บรักษาพริกแห้งให้ยังคงสภาพและมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เอาไว้ โดยสามารถนำไปเก็บในถุงซิปล็อกกันความชื้น หรือขวดโหลและกล่องที่มีฝาปิดมิดชิด จากนั้นนำเข้าตู้เย็นในช่องธรรมดา เพื่อให้สามารถเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้น หากต้องการนำมาประกอบเมนูอาหารไทยก็สามารถหยิบมาใช้ได้ปกติ
แชร์ 2 สูตรอาหารจากพริกแห้ง เมนูสุดจัดจ้านสไตล์ไทย
1.กะเพราเนื้อพริกแห้ง
ส่วนผสม
เนื้อวัวติดมันสับหยาบ 300 กรัม
พริกแห้ง 10 เม็ด
กระเทียม 40 กรัม
ซอสปรุงรสฝาเขียว 1 ช้อนชา
ซอสหอยนางรมสูตรเข้มข้น 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1/4 ช้อนชา
น้ำมันปาล์ม 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 3 ช้อนโต๊ะ
ใบกะเพรา 1/2 ถ้วย
วิธีการทำ
นำพริกแห้งกับกระเทียมมาโขลกให้เข้ากันพอหยาบ จากนั้นพักไว้ แล้วหันไปเตรียมตั้งกระทะ โดยใส่ส่วนผสมที่โขลกเตรียมไว้ลงไปผัดให้ส่งกลิ่นหอม ตามด้วยเนื้อสับ ผัดให้เข้ากัน เมื่อเนื้อเริ่มสุกให้ปรุงรสด้วย ซอสหอยนางรมสูตรเข้มข้น ซอสปรุงรสฝาเขียวและซีอิ๊วดำ เติมน้ำเปล่าลงไป ผัดให้ส่วนผสมเข้ากันดี ปิดท้ายด้วยการใส่ใบกะเพราแล้วผัดให้เข้ากันอีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูเด็ดสุดจัดจ้านพร้อมเสิร์ฟ
2.ยำแหนมคลุก
ส่วนผสมสำหรับข้าวทอด
พริกแกงเผ็ด 1-2 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสวย 320 กรัม
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด
หนังหมูซอย 150 กรัม
หมูสับ 100 กรัม
แป้งทอดกรอบ 1 ถ้วย
ไข่ไก่ 2 ฟอง
น้ำมันพืช 2-3 ถ้วย
ส่วนผสมสำหรับยำแหนม
น้ำปลา 1-2 ช้อนชา
แหนมสด 2 ชิ้น
ข้าวทอด 2 ก้อน
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
ขิงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
มะนาวสด 1 ช้อนโต๊ะ
หนังซอย 2 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงคั่ว หรือทอด 1 ช้อนโต๊ะ
พริกแห้งทอด 1 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
ผักสดตามชอบ สะระแหน่ ผักกาดหอม ผักชี
วิธีการทำ
เริ่มด้วยการทำข้าวทอด เตรียมชามผสมแล้วใส่ข้าวสวยลงไป ตามด้วยหมูสับ หนังหมู พริกแกง น้ำปลา น้ำตาลทรายและใบมะกรูดซอย ขยำส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี ปั้นเป็นก้อน ๆ แล้วพักไว้ จากนั้นเตรียมตอกไข่ไก่ใส่ชามไว้ เติมน้ำสะอาดลงไปเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ไข่ข้นจนเกินไป นำข้าวที่ปั้นเตรียมไว้มาชุบแป้ง ต่อด้วยชุบไข่ สลับไปมาจนได้ความหนาที่ต้องการ หลังจากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันให้พอท่วมข้าวปั้น นำข้าวลงไปทอดให้สุกดีแล้วตักขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
ขั้นตอนนี้เป็นการทำยำแหนม โดยให้เตรียมชามผสม แล้วใส่แหนมสดลงไป 2 ชิ้น หรือใส่ในปริมาณตามชอบ จากนั้นขยำแหนมให้พอแตก ตามด้วยข้าวทอด 2 ก้อน ขำอีกครั้งให้พอแตกหยาบ ๆ ใส่หนังหมู หอมแดงซอย น้ำมะนาวสด น้ำปลา และพริกป่นลงไปแล้วขยำรวมกัน ใส่ขิงซอยและต้นหอมผักชีลงไป ชิมรสชาติและปรุงเพิ่มตามชอบ ก่อนเสิร์ฟจัดใส่จาน โรยหน้าด้วยถั่วลิสง พริกแห้งทอด และมะนาวสักชิ้นเป็นอันเสร็จ ทานคู่กับผักสด อร่อยลงตัวสุด ๆ
ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารเพิ่มเติมได้ที่ Foodspace