พริกไทย ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องเทศครัวไทยที่ได้รับความนิยมในบ้านเราเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องเทศที่ถูกนำไปใช้ปรุงอาหารมากที่สุดของโลกอีกชนิดหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยเอกลักษณ์ของสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมฉุนและรสชาติเผ็ดร้อน นอกจากจะช่วยชูรสอาหารให้ดีขึ้น ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสมุนไพรที่ถูกยกให้เป็นราชาแห่งเครื่องเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่มาที่ไป มีต้นกำเนิดจากที่ไหน มีกี่ประเภท มีประโยชน์และสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ตลอดจนสูตรอาหารง่าย ๆ ของเมนูที่มีเครื่องเทศชนิดนี้เป็นส่วนผสม ซึ่งจะเป็นอย่างไร ไปติดตามพร้อมกันได้เลย
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับพริกไทย ถิ่นกำเนิดของสมุนไพรที่อยู่ในอาหารทั่วโลก
พริกไทย เป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศอินเดีย ตามประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่ามีการใช้เครื่องเทศชนิดนี้ยาวนานมากกว่า 3,000 ปีแล้ว หลังจากนั้นชาวอาหรับได้มีโอกาสพบกับพริกไทย จึงได้นำกลับไปใช้และขายให้กับชาวอียิปต์
เนื่องจากเกิดความประทับใจในกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แต่เป็นการขายโดยไม่ได้บอกถึงที่มาของสิ่งนั้น เพื่อให้เกิดการผูกขาดตลาดแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ในอดีตมีราคาแพง จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น “ทองคำสีดำ” ทำให้มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาสได้ครอบครองเครื่องเทศชนิดนี้ และแน่นอนว่าคนในยุคนั้นใช้พริกไทยเป็นเครื่องแสดงฐานะและความร่ำรวยด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป เครื่องเทศชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุโรป และถูกนำไปปลูกมากขึ้นในหลายประเทศ ทั้งบราซิล จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมถึงเวียดนาม ซึ่งรับบทเป็นแหล่งผลิตและส่งออกมากเป็นอันดันต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว ส่วนในไทยเองนั้นมักพบมากในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด และระยอง
● พริกไทยเขียว : เป็นเมล็ดอ่อนที่ผ่านกระบวนการทำให้แห้งโดยใช้ความเย็น ทำให้ส่วนเปลือกยังมีสีเขียวอยู่นั่นเอง ลักษณะเป็นเม็ดกลมขนาดเล็ก มีเปลือกหุ้ม ผิวขรุขระ เหมาะกับเมนูที่ต้องการกลิ่นหอมสด และรสชาติไม่เผ็ดร้อนอย่างซุป
● พริกไทยดำ : เป็นเมล็ดแก่แต่ยังไม่ถึงกับสุก หลังจากเก็บเกี่ยวนำไปตากแดดให้พอแห้ง นำมานวดต่อเพื่อให้ผลหลุดออกจากก้าน จากนั้นนำไปตากแดดต่ออีก 5-6 วัน จะได้ผลกลมขนาดเล็ก มีเปลือกหุ้ม ผิวขรุขระ นิยมใช้กับเนื้อแดงอย่างเมนูสเต๊กเนื้อที่ต้องการรสเผ็ดร้อนและกลิ่นฉุน
● พริกไทยขาว : คือผลแก่จัดหรือสุกจนเป็นสีแดง เมื่อนำไปแช่ในน้ำแล้วนวดเพื่อให้เปลือกลอกออก ต่อด้วยการตากแดดจนแห้งสนิท ก็จะได้เครื่องเทศที่มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “พริกไทยล่อน” ลักษณะผิวเรียบ ไม่มีเปลือกหุ้ม เหมาะสำหรับเมนูอาหารที่ไม่ต้องการสีจากพริกไทย เช่น มันฝรั่งบด หรือครีมซอส
● พริกไทยแดง : ผลที่สุกจนมีสีแดง ผ่านกระบวนการทำให้แห้งด้วยความเย็น ทำให้ได้เม็ดกลมขนาดเล็กที่ยังมีเปลือกสีแดงหุ้มอยู่ ผิวขรุขระ ใช้สำหรับการประกอบอาหารประเภทซอสราดเนื้อ ช่วยเพิ่มสีสันให้กับน้ำซอสต่าง ๆ นั่นเอง
บอกต่อประโยชน์ของพริกไทย สมุนไพรมากสรรพคุณ
พริกไทย ไม่ได้เป็นเครื่องเทศที่มีดีแค่เรื่องกลิ่นที่หอมและรสชาติเผ็ดร้อนเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงร่างกายในหลาย ๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันและต่อต้านสารก่อมะเร็ง ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยทำให้เจริญอาหาร บรรเทาอาการนอนไม่หลับ
เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายและเสริมภูมิต้านทานไปด้วยในตัว ทั้งยังช่วยแก้อาการปวดฟัน ขับเสมหะและแก้อาการไอ ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้หวัดและลดไข้ ช่วยกระตุ้นการขับเหงื่อออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยแก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยในการย่อยอาหาร แก้อาการอาหารไม่ย่อย แถมยังช่วยย่อยสารพิษได้อีกด้วย
แชร์สูตร ตับผัดกระเทียมพริกไทย
อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วว่า “พริกไทย” เป็นสุดยอดเครื่องปรุงที่อยู่คู่กับครัวของโลกมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นอาหารนานาชาติหรือเมนูอาหารไทยหลากหลายสไตล์ ก็มักจะใช้เครื่องเทศชนิดนี้เพิ่มรสชาติความจัดจ้าน และแต่งกลิ่นให้หอมชวนลิ้มลอง
ในวันนี้เราขอนำเสนออีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในร้านอาหารทั่วไปของไทย ทั้งยังเป็นเมนูประจำบ้านที่สามารถทำทานได้บ่อย ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “ตับผัดกระเทียมพริกไทย” ที่ใช้วัตถุดิบง่าย ๆ หาได้ตามท้องตลาด ประกอบกับขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ว่าใครก็สามารถทำตามได้ดังนี้
ส่วนผสม
ตับ 300 กรัม
กระเทียม 10 กลีบ
นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
วิธีการทำ
1. ล้างทำความสะอาดตับด้วยแป้งมันเพื่อขจัดกลิ่นคาว จากนั้นนำไปล้างออกด้วยน้ำเปล่า เมื่อล้างจนสะอาดแล้วนำไปหมักกับนมสดทิ้งไว้เป็นเวลาประมาณ 20 นาที
2. ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันลงไป ตามด้วยกระเทียม ผัดจนมีสีเหลืองสวยและส่งกลิ่นหอม จากนั้นตักขึ้นพักไว้
3. นำตับที่ล้างและหมักเตรียมไว้ลงแล้วไปผัดในน้ำมันกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว พริกไทยดำและน้ำตาลทราย ผัดคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน และให้ได้ความสุกของตับที่ต้องการ
4. เสร็จแล้วตักใส่จาน ก่อนเสิร์ฟโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวที่ทำเตรียมไว้ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ ทานคู่กับข้างสวยร้อน ๆ อร่อยลงตัวสุด ๆ
ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารเพิ่มเติมได้ที่ Foodspace