ผัดเผ็ดปลาดุก เมนูอาหารไทยรสชาติจัดจ้านตามแบบฉบับวัฒนธรรมอาหารการกินท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความครบเครื่องทั้งเรื่องรสชาติ และความสมบูรณ์ของประเทศเขตร้อนที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมาย ทำให้มีเมนูแสนอร่อยที่เกิดจากการคลุกเคล้าและผสมผสานกันของเครื่องเทศสมุนไพรให้เลือกทานหลากหลายสไตล์ เช่นเดียวกับเมนูทำง่ายเมนูนี้ที่หลายคนติดใจจนต้องไปตามหาสูตรการทำมาลองเข้าครัวด้วยตัวเองสักครั้ง แน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะแบ่งปันขั้นตอนการทำเมนูปลาดุกที่ผ่านการทอดมาจนเหลืองกรอบ ผัดเข้ากับพริกแกงเผ็ด ปรุงรสหวานและเค็มเล็กน้อย เพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยพริกไทยอ่อนและใบกะเพรา ทานคู่กับใบบัวบกช่วยคลายร้อนได้ดี
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพิ่มเติมได้ที่นี่
ทำความรู้จักเมนูผัดเผ็ดปลาดุก พร้อมส่องประโยชน์ที่หลากหลายจานอาหารทำง่าย แถมอร่อยด้วย
ผัดเผ็ดปลาดุก คือหนึ่งในเมนูจากสูตรพริกแกงผัดเผ็ดที่มีให้เลือกทานหลากหลายแบบด้วยกัน ทั้งแบบที่ใส่กะทิและไม่ใส่กะทิ แต่จะมีวิธีการปรุงแบบเดียวกันกับแกงเผ็ด ต่างกับเพียงแค่ปริมาณน้ำหรือกะทิที่น้อยกว่าเท่านั้น หอมกลิ่นสมุนไพร สำหรับเมนูผัดเผ็ดปลาดุกก็สามารถทำได้หลายสูตร จะเลือกเป็นผัดเนื้อปลาสดที่มีรสเค็มนำหวานตามปิดท้ายด้วยรสเผ็ด หรือนำไปทอดให้กรอบก่อนแล้วค่อยนำมาคลุกเคล้ากับเครื่องพริกแกงก็ได้เช่นกัน รสชาติที่ได้ก็จะเป็นรสหวานนำแล้วตามด้วยเค็มและเผ็ด
เมนูนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูเพื่อสุขภาพที่อัดแน่นไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่ประโยชน์ของปลาดุกที่เป็นวัตถุดิบหลักซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ย่อยง่าย ซึ่งมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะถูกนำไปใช้ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ส่วนไขมันที่อยู่ในเนื้อปลาดุกจัดเป็นไขมันดีที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์สมอง มีส่วนช่วยในการป้องกันการแข็งตัวของไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้วิตามินและแร่ธาตุในเนื้อปลาดุกยังช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติได้อีกด้วย เมื่อเนื้อปลาดุกมาปรุงกับเครื่องแกงจากสมุนไพรไทย ทำให้ได้จานเด็ดที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ
แบ่งปันความอร่อยด้วยสูตรการทำผัดเผ็ดปลาดุกกับพริกไทยอ่อน หอมกลิ่นเครื่องเทศ รสชาติอร่อยเด็ด
ส่วนผสมในการทำผัดเผ็ด
- ปลาดุก ตัวละ 300 กรัม 2 ตัว
- น้ำมันพืช 3 ถ้วย
- น้ำพริกแกงเผ็ดที่โขลก 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำ ¼ ถ้วย
- น้ำปลา 2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
- ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ
- พริกไทยอ่อน 5 ช่อ
- ใบกะเพราหั่นหยาบ ½ ถ้วย
- ใบบัวบก สำหรับจัดเสิร์ฟ
- ใบกะเพราและพริกขี้หนู สำหรับตกแต่ง
ส่วนผสมเครื่องแกงปริมาณ ½ ถ้วย
- พริกขี้หนูแห้ง 30 เม็ด
- เกลือสมุทร ½ ช้อนชา
- พริกขี้หนูสีเขียวและแดง 10 เม็ด
- พริกไทยดำเม็ด 15 เม็ด
- ข่าแก่หั่นละเอียด 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ซอย 2 ต้น
- ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
- กระเทียมไทยกลีบเล็ก 15 กลีบ
- ขมิ้นสด หั่นท่อน 1 นิ้ว 1 ชิ้น
- กะปิ 1 ช้อนชา
วิธีการทำ
- เริ่มต้นด้วยการเตรียมส่วนผสมในการทำพริกแกง ให้โขลกพริกขี้หนูแห้งกับเกลือเข้าด้วยกัน เมื่อส่วนผสมละเอียดแล้วให้ใส่พริกขี้หนู พริกไทย ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด กระเทียม ขมิ้น และกะปิลงไปโขลกให้เนียนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ตักใส่ถ้วยแล้วพักไว้
- มาต่อกันที่ขั้นตอนสำคัญสำหรับเมนูผัดเผ็ดปลาดุก นั่นคือการล้างทำความสะอาดปลาดุก ทำการผ่าท้องควักไส้ปลาออกจนหมด นำมาล้างด้วยน้ำปูนใส และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นหั่นเป็นแว่นให้มีความหนาประมาณครึ่งนิ้ว แล้วล้างจนหมดเมือกจึงใส่ตะแกรงไว้รอให้สะเด็ดน้ำ
- เตรียมตั้งกระทะ โดยใส่น้ำมันลงไปแล้วใช้ไฟกลางรอให้ร้อน ใส่ปลาดุกที่เคล้าด้วยเกลือสมุทรเรียบร้อยแล้วลงไปทอดจนเนื้อปลาสุกเหลืองและกรอบ ตักขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
- ตักน้ำมันที่ผ่านการทอดปลาในกระทะออกให้เหลือในปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำพริกแกงที่โขลกเตรียมไว้ลงไปผัดจนส่งกลิ่นหอม เติมน้ำเปล่าแล้วปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาล ใส่ใบมะกรูดและตามด้วยเนื้อปลาดุกทอด ผัดให้เข้ากัน
- เมื่อส่วนผสมเริ่มเข้ากันดีให้ใส่พริกไทยอ่อนและใบกะเพราลงไปผัดพอสลด ปิดเตาแล้วค่อยใส่ใบบัวบกลงไปในขั้นตอนของการจัดจานเสิร์ฟ แล้วตามด้วยผัดเผ็ดในกระทะ ปิดท้ายการตกแต่งจานด้วยใบกะเพราและพริกขี้หนู ทานคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยฟิน
บอกต่อเคล็ดลับความอร่อย เลือกซื้อวัตถุดิบหลักในเมนูผัดเผ็ดปลาดุกอย่างไรให้ได้จานเด็ดแสนอร่อย
ขั้นตอนการเริ่มต้นทำเมนูผัดเผ็ดปลาดุกที่สำคัญจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากการเตรียมวัตถุดิบ เริ่มจากการเลือกซื้อปลาดุกให้ได้อาหารตามสูตรผัดเผ็ดปลาดุกแสนอร่อยกันก่อน เนื่องจากปลาดุกเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้ปลาดุกไทยนั้นมีให้เลือกหลายสายพันธุ์และหลายขนาด หลักการเบื้องต้นให้พิจารณาเลือกจากปลาที่สดใหม่ ไม่ผ่านการแช่แข็งจะดีที่สุด แนะนำให้ซื้อปลาเป็น ๆ ไม่เลือกปลาที่มีอาการเพลียหรือรอยแผล แต่หากเป็นปลาตายก็ให้เลือกตัวที่ตายังใส เหงือกแดง และหัวปลายังติดอยู่กับตัว ไส้ไม่ทะลัก เนื้อแน่น กดไม่ยุบ ไม่เป็นจ้ำหรือช้ำ และไม่มีกลิ่นเหม็น
ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารเพิ่มเติมได้ที่ Foodspace